สตม.รวบแก๊งเวียดนามเทา 9 ราย อุ้มหญิงไทยและหนุ่มไต้หวันรีดเงินกว่า 1.7 ล้านเบี้ยวซื้อขาย เหรียญ usdt ซ้อมปางตาย

0
80

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส.,พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.,พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม.,นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด,พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม.และพ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ   

สืบเนื่องจาก กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งข้อมูลจากแหล่งข่าวว่าได้มีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวนและสัญชาติได้ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวหญิงไทยและหนุ่มไต้หวัน เพื่อให้ยอมชดใช้เงิน จำนวน กว่า 1.7 ล้านบาท โดยได้ทำการขู่ฆ่าและทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าหญิงไทยที่ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังคือ น.ส.สุชาดา (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี สัญชาติไทย และ MR.LI สัญชาติไต้หวัน อายุ 21 ปี (ซึ่งจากการประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันพบว่า เป็นบุคคลที่มีประวัติกระทำผิดในไต้หวันในข้อหาทำร้ายร่างกาย) โดยผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มคนสัญชาติเวียดนามที่ทำธุรกิจในประเทศไทยและทำการซื้อขายเงินดิจิตอลกับบุคคลอื่น โดยจะต้องมีคนกลางแนะนำและพาเข้ามาที่บ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 41 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเฝ้าดูที่บ้านหลังดังกล่าวพบว่า มีลักษณะพิรุธและสังเกตุเห็นคนต่างด้าวลักษณะคล้ายคนเวียดนามอยู่ในบ้านหลายคน และพบรถยนต์ยี่ห้อ มาสด้า สีแดง ทะเบียน กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบพบว่า เป็นป้ายทะเบียนปลอม ได้ขับออกจากบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสะกดรอยตามไปที่โกดังแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี และเฝ้าดูที่บริเวณโกดังดังกล่าว จากนั้นในช่วงเวลาดึกของคืนวันเดียวกัน ได้พบรถยนต์คันดังกล่าวขับออกมาจากโกดังหลังดังกล่าวและมุ่งหน้ากลับมาที่กรุงเทพฯ และได้เข้าไปที่บ้านในซอยลาดพร้าว 41 หลังเดิม และเห็นว่าได้มีคนเวียดนามนำผู้หญิงและผู้ชายเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงเชื่อว่าบุคคลทั้งสองคือบุคคลที่เป็นคนที่ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังตามที่ได้รับข้อมูล จึงได้จัดกำลังเฝ้าดู อีกทั้งจากการประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันที่ประจำประเทศไทยรับ แจ้งว่า บิดาของ MR.LI ได้แจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจจงพิง เมืองนิวไทเป ว่า MR.LI ได้โทรศัพท์มาหาขอให้โอนเงินไปให้ โดยได้แจ้งว่าถูกกักขังและถูกทำร้ายและจะถูกฆ่า กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญาเข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว จากการตรวจค้นพบ น.ส.สุชาดา และ MR.LI ถูกควบคุมกักขังอยู่ในห้องภายในบ้านและพบคนร้ายที่เป็นคนสัญชาติเวียดนาม จำนวน 9 ราย คือ MR.PHAM VAN (นามสมมติ) อายุ 40 ปี MR.PHAM NGOC (นามสมมติ) อายุ 37 ปี MR.NGUYEN XUAN (นามสมมติ) อายุ 49 ปี MR.NGOC PHAP (นามสมมติ) อายุ 34 ปี MR.NGUYEN NGOC (นามสมมติ) อายุ 41 ปี MR.NGUYEN THANH (นามสมมติ) อายุ 33 ปี MR.TRAN VU (นามสมมติ) อายุ 41 ปี MR.NGOC TU (นามสมมติ) อายุ 35 ปี MR.NGUYEN HOU (นามสมมติ) อายุ 40 ปี และพบอาวุธปืนลูกโม่ ยี่ห้อ สมิธแอนด์สัน ขนาด .22 ไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน 1 กระบอก, เครื่องกระสุนปืน จำนวน 33 นัด, รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีเทา ทะเบียน กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ยี่ห้อ มาสด้า สีแดง ทะเบียน กรุงเทพมหานคร (หมายเลขทะเบียนปลอม)

จากการสอบถาม น.ส.สุชาดา และ MR.LI ให้การว่า น.ส.สุชาดา เป็นแฟนของ MR.LI โดยทั้ง 2 คน ได้เดินทางเข้ามาที่บ้านในซอยลาดพร้าว 41 โดยมีนายหน้าคนไทยไม่ทราบชื่อได้พามาเนื่องจาก MR.LI ต้องการซื้อเหรียญ usdt จำนวน 50,000 เหรียญ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,700,000 บาท และหลังจากที่เข้ามาแล้วได้พบกับ MR.PHAM NGOC และบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ในบ้านหลังดังกล่าว และได้มีการตกลงพูดคุยเรื่องราคาและตกลงทำการซื้อขายกัน หลังจากที่ MR.PHAM NGOC ได้โอนเหรียญ usdt จำนวน 50,000 ไปยังกระเป๋ารับเงินตามที่ MR.LI แจ้งนั้นปรากฏว่า MR.LI ไม่ได้โอนเงินไทยให้ เนื่องจาก MR.LI เป็นเพียงคนกลางของบุคคลที่ชื่ออาตง ซึ่งได้พยายามติดต่อกับอาตงแต่ปรากฏว่าหลังจากที่อาตงได้รับเหรียญไปแล้ว ได้ตัดสายและไม่สามารถติดต่อได้อีกหลังจากนั้นทางกลุ่มผู้ต้องหาสัญชาติเวียดนามได้กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายทั้งสองราย และได้พูดข่มขู่เพื่อให้หาเงินมาชดใช้ให้ได้ไม่งั้นจะฆ่าเสีย ซึ่งเวลาผ่านไปก็ยังไม่สามารถนำเงินมาชดใช้ได้ ซึ่งทาง MR.LI ได้โอนเหรียญ usdt คืนแค่จำนวน 990 เหรียญเท่านั้น กลุ่มผู้ต้องหาจึงได้เริ่มทำร้ายร่างกาย MR.LI และข่มขู่ น.ส.สุชาดา จากนั้นได้พาตัว MR.LI ขึ้นรถและเดินทางออกไปที่โกดังแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี ทิ้งให้ น.ส.สุชาดา อยู่ที่บ้านกับผู้ต้องหาคนสัญชาติเวียดนามคนอื่น จากนั้น น.ส.สุชาดา ได้ถูกนำตัวขึ้นรถยนต์ ยี่ห้อมาสด้า สีแดง เดินทางไปที่โกดังดังกล่าวและได้พบกับ MR.LI โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ใช้อาวุธ เช่น กระบองเหล็กทุบตี ใช้เชือกรัดคอ กรรไกรตัดกิ่งไม้จะนำมาตัดนิ้วของ MR.LI และใช้อาวุธปืนตบไปที่ศีรษะของ MR.LI และใช้อาวุธปืนจ่อศีรษะและขู่ว่าถ้ายังหาเงินไม่ได้จะฆ่าและฝั่งศพไว้ที่นี้ จากนั้น MR.LI ได้ทำการโทรศัพท์ติดต่อหาญาติเพื่อให้ช่วยหาเงินมาชดใช้ แต่ก็ยังไม่สามารถชดใช้ได้ ต่อมาในช่วงกลางคืน ผู้ต้องหาได้พาผู้เสียหายทั้งสอง กลับมาที่บ้านในซอยลาดพร้าว 41 อีกครั้ง และให้เวลาภายในวันรุ่งขึ้นไม่งั้นจะฆ่าทิ้ง จนกระทั่งได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. เข้ามาทำการช่วยเหลือ ในเบื้องต้นจึงได้ขออนุมัติ ผบก.สส.สตม. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของผู้ร่วมก่อเหตุ ทั้ง 9 ราย และได้ตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำความผิด นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมกับได้นำผู้เสียหายทั้งสองรายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมก่อเหตุทั้ง 9 ราย

จากการนำตัว MR.LI ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจโดยสังเกตจากภายนอกพบว่ามีบาดแผลที่บริเวณศีรษะ ใบหน้า ลำตัว ท่อนแขน จำนวนหลายจุด และบริเวณคอมีรอยจากการที่ถูกเชือกรัด และจากการนำหมายค้นของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าตรวจค้นโกดังที่จังหวัดสุพรรณบุรี พบเชือกไนล่อนสีเขียวที่กลุ่มผู้ต้องหานำมาใช้ในการรัดคอผู้เสียหาย, กรรไกรตัดกิ่งไม้ ท่อนเหล็ก ที่ใช้ในการทำร้ายผู้เสียหาย และพบ MEMORY CARD ของกล้องวงจรปิด จึงได้ทำการตรวจยึดและส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป