จากการขยายผลแก๊งล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ภายในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 6 ม.ค.67 พบว่ามีการนำบัตรเครดิตที่ลักมาไปรูดใช้งานถือว่าเป็นภัยสังคมที่กำลังพัฒนาเป็นขบวนการไม่ใช่แค่ “หัวขโมย” ที่มาขโมยบัตรเครดิตของเหยื่อแล้วแอบนำไปรูดเท่านั้น แต่พัฒนาโดยวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ล่าสุด พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.สั่งให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.แกะรอยจนทราบหัวหน้าขบวนการชื่อนายฤทธิ์ ก่อนนำกำลังบุกพังประตูเข้าไปรวบตัวได้ขณะกำลังพยายามลบข้อมูลในโทรศัพท์ พบเครื่องมือรูดบัตรเครดิตและยาเสพติดหลายรายการ และขยายผลพบรังปลวกที่เชื่อมโยงไปถึง “อาเหว่ย” บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน
เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น.พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น.พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ พ.ต.ต.วศิน อินทร์แก้ว ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา ร.ต.ท.เลิศวริศ เลิศวรปรีชา ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ อันชูฤทธิ์ ร.ต.ท.อนันตชัย สัจจพงษ์ ร.ต.ท.จักราช ธนวชิรากร ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบนครบาล และชุด PCT5 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว
1.นายฤทธิ์ อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.420/2566 ลงวันที่ 24 ต.ค.66 ข้อหา“จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย และเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาติ และพยายามส่งของต้องห้ามออกไปนอกราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น” 2.น.ส.จิราภา อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาที่ 2 และน.ส.มนัสนันท์ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 3 โดยทั้งสามคนถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือ   เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือ เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย” พร้อมของกลางจำนวน 6 รายการ 1.ยาไอซ์ 3 ถุง จำนวนทั้งสิ้น 4.6 กรัม 2.เครื่องรูดบัตรเครดิต จำนวน 4 เครื่อง 3.สลิปการใช้บัตรเครดิต จำนวน 30 ใบ 4.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง (พบข้อมูลการนัดหมายรูดบัตรกับกลุ่มผู้ขโมยบัตรจำนวนมาก) 5.สมุดจดบันทึก จำนวน 2 เล่ม (พบข้อมูลผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย) 6.ม้วนกระดาษสลิปโอนเงิน จำนวน 1 ม้วน จับกุมตัวได้ที่ห้อง 704 โรงแรมชื่อดังย่านรัชดา แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
พฤติการณ์กล่าวคือ “แก๊งล้วงกระเป๋าลักบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กำลังระบาดในสถานที่ท่องเที่ยว โดยขโมยบัตรเครดิตของเหยื่อแล้วแอบนำไปรูดสร้างความเสียหายกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางในสถานที่ต่างๆ และเป็นการทำเป็นขบวนการมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ หามือขโมยบัตร เตรียมสถานที่ เตรียมเครื่องที่จะใช้รูดบัตร โดยในปัจจุบันหลายคดีๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่นครบาลพบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ (มือขโมยบัตร) จะเป็นชาวต่างชาติสัญชาติเวียดนาม จีน
โดยพล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ได้สั่งให้สืบนครบาลแกะรอยจากแผนประทุษกรรมจนพบความผิดปกติที่กลุ่มผู้ลงมือก่อเหตุขโมยบัตรเกือบทั้งหมดเป็น “ชาวต่างชาติ” วิเคราะห์จนสกัดออกมาได้ว่า “มีขบวนการที่เป็นคนไทย”ที่อยู่เหนือกว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุนี้ จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. นำกำลังลงพื้นที่สืบสวนโดยแกะรอยจากกลุ่มชาวจีนจำนวน 3 ราย ที่ได้ลงมือก่อเหตุขโมยบัตรเครดิตภายจากนักท่องเที่ยวภายในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 ที่ผ่านมาพบพยานหลักฐานไปถึงหัวหน้าขบวนการในประเทศไทยคือ นายฤทธิ์ ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าทำหน้าที่หาคน หาเครื่องรูดบัตร บ้างนำมาจากบริษัทที่จดทะเบียนขึ้นมาลอยๆ หรือนำมาจากห้างร้านทองหลายๆแห่ง เพื่อนำมารวมกันไว้ใน “เซฟเฮ้าส์” ห้องลับเพื่อใช้คอยรูดบัตรให้กับขบวนการนี้โดยเฉพาะ และยังสืบทราบว่า นายฤทธิ์ฯ เป็นบุคคลตามหมายจับในข้อหาพยายามส่งออกยาเสพติดไปยังประเทศเกาหลีใต้ แต่จากการสืบสวนแกะรอยหัวหน้าขบวนการรายนี้นับว่าเป็น “งานหิน” ด้วยความเขี้ยวของหัวหน้าขบวนการรายนี้ที่จะตัดตอนมิให้พยานหลักฐานเชื่อมโยงมาถึงตัว และไปมาอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลากว่า 4 ปี ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คอยตระเวนเปิดโรงแรมนอนและย้ายไปเรื่อยๆในพื้นที่ กรุงเทพฯ หลังจากแกะรอยกว่า 1 สัปดาห์จนได้เบาะแสว่าคนร้ายรายนี้ได้ปรากฏตัวที่ละแวก ซ.เสือใหญ่ จึงนำกำลังติดตามไปจนพบ “เซฟเฮ้าส์” ที่ใช้เก็บอุปกรณ์เครื่องรูดบัตรไว้ จนกระทั่งพล.ต.ต.ธีรเดชฯ นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบนครบาล และ PCT5 บุกเข้าไปตรวจสอบห้องพักหมายเลข 704 ของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งย่าน ซ.เสือใหญ่ แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของเจ้าพ่อรายนี้มุดเข้าไปแอบภายในห้องน้ำและพยายามถ่วงเวลาเพื่อลบข้อมูลในโทรศัพท์ของตัวเองชุดสืบสวนไม่รอช้าพังประตูเข้าไปรวบตัวในห้องน้ำได้ทันควัน และจับกุมหญิงสาวผู้ร่วมขบวนการอีก 2 รายในห้องตรวจยึดของกลางยาเสพติดและอุปกรณ์ใช้รูดบัตรเครดิตได้หลายรายการ
ภายหลังการจับกุมได้มีการขยายผลจนพบหลักฐานว่าขบวนการนี้ไม่เพียงแต่เป็น “แก๊งขโมยรูดบัตรเครดิต” หากพบหลักฐานเตรียมฉ้อโกงธนาคารด้วยการวางแผนอย่างเป็นระบบ หาคนโปรโฟล์ดี มีคุณสมบัติไม่ติด เครติดบูโร และต้องพร้อมโดนฟ้องล้มละลาย โดยจะนำมาตกแต่งบัญชีให้สวยหรู เพื่อตบตาธนาคารให้ยอมปล่อยกู้ แต่หลังจากธนาคารปล่อยกู้แล้ว แก๊งตัวแสบ จะใช้วิธี “ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” สร้างความเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก มิหนำซ้ำ และยังเป็นขบวนการ “สวมตัวตน” ให้กับชาวต่างชาติ โดยทั้งหมดเชื่อมโยงกับ อาเหว่ย “บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน” ในชั้นจับกุม นายฤทธิ์ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่า “ก่อนเกิดเหตุตนเองประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เปิดโรงแรม HOSTEL ย่านราชเทวี และเป็นนายหน้าขายที่ดินในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด และเป็นนายหน้าขายรถยนต์มือสองในพื้นที่ กทม. ก่อนจะประสบวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เป็นเหตุให้ธุรกิจเจ๊งและปิดตัวลง จนกระทั่งช่วงปลายเดือน พ.ย.66 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสรู้จักกับ “อาเหว่ย” สัญชาติจีน บอสใหญ่คอลเซ็นเตอร์ โดยอาเหว่ยให้ตนเป็นคนประสานติดต่อและจัดหาเครื่องรูดบัตรเครดิตจากร้านค้าทั่วไปให้แก่อาเหว่ย ซึ่งมีเพื่อนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เดินทางมาเที่ยวในไทย อยากจะเปลี่ยนวงเงินในบัตรเครดิตที่ถืออยู่ให้เป็นเงินสด โดยผ่านจากเครื่องรูดบัตร เพื่อใช้สอยในระหว่างที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย โดยอาเหว่ยตกลงจะให้ค่าตอบแทนร้อยละ 25-30 ของจำนวนเงินที่สามารถกดได้จากบัตร ตนจึงไปติดต่อพรรคพวกที่รู้จัก ซึ่งเป็นโรงแรม ร้านค้า ร้านประกอบการค้า ที่สามารถนำเครื่องรูดบัตรมาให้ได้ อาทิ และธุรกิจ ขอนำเครื่องรูดบัตรเครดิต มารูดเป็นสินค้าและบริหารของทางร้านภายในวงเงินที่รูดได้ จากนั้นจึงจะทำการเจรจาและตกลงกับทาง เจ้าของร้านค้าและบริการ ดำเนินการคิดและหักค่าดำเนินการในการอนุญาตนำเครื่องรูดบัตรออกมาใช้โดยผิดรูปแบบและวัตถุประสงค์เป็นร้อยละ 25-30 โดยที่ผู้ต้องหาจะได้รับค่าตอบแทนประมาณร้อยละ 5-10 ของวงเงินที่สามารถรูดบัตรได้ จนกระทั่งพรรคหลังเริ่มทราบว่าแท้จริงเป็นขบวนการที่นำบัตรเครดิตมาจากการขโมย โดยรวมทั้งหมดแล้วไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,600,000 – 3,000,000 บาท” หลังจับกุมตัวได้นำตัว นายฤทธิ์ฯ พร้อมกับผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คนพร้อมของกลางยาเสพติดนำส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ส่วนของกลางจำพวกเครื่องรูดบัตร และอื่นๆ ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายและขยายผลต่อไป
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา เนื่องจากพยานหลักฐานนั้นมัดแน่นว่าผู้ต้องหารายนี้ คือหนึ่งในตัวการสำคัญของขบวนการแก๊งขโมยรูดบัตรเครดิต ภัยสังคมที่กำลังจะพัฒนาสู่ระดับองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งหน้าที่กันทำและวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชนและยังบ่อนทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อีกทั้งเรายังพบว่าผู้ต้องหารายนี้ไม่ใช่ผู้ร้ายมือสมัครเล่น เพราะเราสืบสวนขยายผลจนทราบว่าผู้ต้องหารายนี้มีความสนิทสนมกับหัวหน้าขบวนการคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน จึงขอประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนหากพบเห็นที่เข้าข่ายลักษณะขบวนการนี้สามารถติดต่อให้เบาะแสทาง เฟสบุ๊คเพจ สืบนครบาล IDMB เรามีเจ้าหน้าที่พร้อมให้คำแนะนำตลอด 24 ชั่วโมง “แม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์แต่หากเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที” ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.”