แม่ช็อกร้อง“ปวีณา”ทำงานอยู่เยอรมันฝากลูกชายออทิสติกเลี้ยงที่บ้านรับดูแลคนออทิสติกเดือนละ 35,000 บาทกลับถูกทำร้ายร่างกาย

0
434

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ก.พ. 66 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี คลองเจ็ด ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นางแหม่ม (นามสมมุติ) อายุ 57 ปี เดินทางเข้าร้อง นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองต้องไปทำงานอยู่ที่ประเทศเยอรมัน แล้วต้องฝากเลี้ยงลูกชายออทิสติกที่บ้านรับดูแลคนออทิสติก เดือนละ 35,000 บาท กลับถูกทำร้ายร่างกายใช้มีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอก สากกะเบือทุกมือบวมปูด ใช้ไฟแช็กลนแขน ให้กินข้าวกับไข่เจียว ข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกือบทุกวัน จนร่างกายซูบผอม ทุกวันนี้มีอาการหวาดผวา ระแวง ก้าวร้าว ต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

ทางด้าน นางแหม่ม กล่าวว่า ปัจจุบันตนอยู่กับสามีและทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ช่วงเดือนก.ค.65 ได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่จ.อุบลราชธานี นายเม่น ลูกชายที่อาศัยอยู่กับยายและหลานของตน บอกว่าอยากไปโรงเรียน และอยากทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตนก็ตามใจลูกเพราะคิดเราก็อายุมากคงดูแลลูกไม่ได้ตลอด จากนั้นได้ติดต่อหาโรงเรียนสำหรับคนออทิสติก แต่ครูแนะนำว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถ้ามาเรียนกับเด็กๆ อาจจะเกิดความแตกต่างและอึดอัด จึงได้แนะนำสถานที่รับดูแลคนออทิสติกแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี แม่จึงได้ติดต่อและพาลูกไปที่นั่น

 พบเป็นบ้าน 2 ชั้น อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจ.นนทบุรี มีครูพี่เลี้ยง 5 คน ดูแลเด็กออทิสติกที่มีทั้งอยู่ประจำและไปกลับ ซึ่งครูที่เป็นเจ้าของแจ้งค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000-35,000 บาท ในการอยู่ประจำ และบอกว่าจะสอนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ มีกิจกรรมให้ทำ พาไปเที่ยวบ้าง และจะไม่ให้เด็กใช้มือถือในช่วงแรก โดยผู้ปกครองจะต้องติดต่อผ่านครู เพราะกลัวเด็กจะไม่เชื่อฟัง

จากนั้นแม่ก็ตกลงจะฝากลูกไว้ที่นั่น โดยพาลูกไปส่งวันที่ 18 ก.ค.65 พร้อมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และยาประจำตัวที่แพทย์ให้กินทุกวัน จากนั้นแม่ได้เดินทางกลับประเทศเยอรมัน ช่วง 2 เดือนแรก ครูได้ส่งรูปลูกชายเวลาทำกิจกรรมวาดรูป ทานอาหาร ไปทานเคเอฟซี มาให้แม่ดูก็ว่าลูกคงมีความสุข และครูยังบอกอีกว่า ลูกไม่ได้กินยาต่อเนื่องแล้ว โดยอ้างว่าพาไปอาจารย์หมอ บอกว่าลูกชายเป็นปกติไม่ต้องกินยาแล้ว

 ต่อมาเดือนพ.ย.65 แม่สังเกตเห็นในรูปลูกชายซูบผอม มีร่อยรอยที่ดวงตา ใบหน้า และที่แขน ครูก็อ้างว่าลูกเดินชนก๊อกน้ำ ทีแรกแม่ก็ไม่คิดอะไรแต่พอผ่านไปร่องรอยที่ใบหน้าและตามตัวก็ยังไม่หาย วันที่ 30 พ.ย.65 จึงให้น้องสาวบินจากมาจากเยอรมันกลับไทยเพื่อมาเยี่ยมหลาน เมื่อมาถึงที่บ้านหลังดังกล่าว ครูอ้างว่าให้น้าเข้าพบเด็กไม่ได้เพราะต้องระวังเรื่องโควิด ทั้งที่น้องสาวก็ได้ตรวจเอทีเคและนำผลตรวจมาแสดง จึงทำได้เพียงแค่คุยกับหลานผ่านวีดีโอคอล ซึ่งน้าก็สงสารหลานมาก เพราะเห็นมีสภาพซูบผอมและร้องไห้ตลอดเวลาระหว่างคุยวิดีโอคอล

เมื่อน้องสาวมาเล่าให้ตนฟังจึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินกลับไทยในวันที่ 23 ธ.ค.65 และแชตคุยบอกครูว่าจะไปรับทันทีที่มาถึงเพื่อกลับบ้านจ.อุบลราชธานี ไปเที่ยวช่วงปีใหม่ แต่ครูก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าครูมีโปรแกรมจะพาเด็กๆ ไปเที่ยว แม่เห็นผิดสังเกตจึงให้คนรู้จักไปดูที่บ้านก็พบว่าทุกคนยังอยู่ในบ้านไม่มีการพาเด็กไปเที่ยวแต่อย่างใด จากนั้นแม่ก็ได้แจ้งครูขอให้คนรู้จักรับเด็กกลับที่จ.อุบลราชธานี ทันที  

ต่อมาแม่กลับถึงไทยได้พบลูกชายในสภาพซูบผอม จมูกผิดรูป มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้าย ที่ใบหน้าและแขน มีรอยถูกแทงที่หน้าอกซ้าย และมือบวมทั้ง 2 ข้าง เวลานอนลูกมีอาการหวาดผวา แม่ต้องใช้เวลาหลายวันจนกว่าลูกจะบอกว่าถูกครู 3 คน ทำร้าย โดยครูผู้หญิงใช้ไม้เรียวตีเวลาโมโห และลูกยังบอกอีกว่า มีวันหนึ่งลูกชายทำพริกป่นหกพื้น ครูชายคนที่ 1 มาเห็นจึงเอาพริกป่นยัดใส่ปาก และใช้สากกะเบือตีมือจนมือบวมปวดมาก และอีกวันครูชายคนที่ 2 หาว่าลูกชายไปหยิบขนมเพื่อนกินจึงเอามีดปอกผลไม้แทงที่หน้าอกซึ่งตอนนี้ยังมีแผลเป็นอยู่

นางแหม่ม เล่าอีกว่า วันที่ 28 ธ.ค.65 แม่ได้พาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ.อุบลราชธานี แพทย์พบว่าเด็กมีอาการก้าวร้าว หวาดผวา จึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลวันที่ 28 ธ.ค.65 ถึงวันที่ 18 ม.ค. รวม 21 วัน เพราะต้องดูอาการและปรับยา เนื่องจากขาดยามาเป็นเวลานาน แม่เสียใจมากที่ลูกต้องเจอเรื่องแบบนี้ ลูกอยู่อย่างทนทุกข์ถูกทำร้าย นอกจากนี้ลูกยังบอกว่าเวลาอยู่ที่บ้านครูส่วนใหญ่ก็จะกินแต่ข้าวไข่เจียว และข้าวคลุกผงปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

“แม่ต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดที่เขาทำกับลูกแม่ ไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ จะถูกกระทำแบบลูกแม่หรือไม่ เพราะทางบ้านจะกีดกันไม่ให้ผู้ปกครองเด็กรู้จักพูดคุยกันเลย และก็จะไม่ให้คุยกับเด็กๆ ที่อยู่ที่นั่นด้วย ซึ่งเขาอ้างว่าเดี๋ยวเด็กจะไม่เชื่อฟังครู แม่อยากให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบว่าสถานที่ดังกล่าวเปิดถูกต้องหรือไม่ ครูที่ดูแลมีใบอนุญาตหรือไม่ และขอมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือติดตามคดีให้ด้วย”

หลังจากที่รับเรื่องแล้ว วันนี้ เวลา 14.30 น. นางปวีณา จะพาแม่หนุ่มออทิสติกเข้าพบและประชุมร่วมกับ พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.จักริน พันธ์ทอง รองผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสน์ ผกก.สภ.บางบัวทอง และนางสาวบุณยวีร์ ลุมาดกมลพันธ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี เพื่อเร่งติดตามคดีที่ได้แจ้งไว้ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.66 และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบว่าสถานทีเปิดบ้านดูแลคนออทิสติกแห่งนี้มีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ และเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีพิจารณาความถูกต้องและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจสอบดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดโดยเร็ว เนื่องจากปัจจุบันในประเทศไทยได้มีการเปิดเนอสเซอรี่ สถานรับเลี้ยงเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ดูแลคนพิการจำนวนมาก จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบเร่งด่วน