สตม.ร่วมกับตำรวจ PCT ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์สัญชาติเกาหลีมีเงินหมุนเวียนกว่า 50 ล้านบาท และรวบผู้ต้องหากิมจิหนีคดีฉ้อโกง 6 พันล้านบาทซุกไทย  

0
686

วันที่ 8 ธันวาคม 2565 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษณ์ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.สรร พูลศิริ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ  ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง ผกก.1 บก.สส. สตม. ร่วมแถลงผลการปฏิบัติงาน ดังนี้ 

 1.ผลการจับกุมเดือนต.ค.-ธ.ค. 65 กรณีคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) มีการระดมจับกุมอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน ต.ค.65 มียอดจับกุมจำนวน 719 ราย  เดือน พ.ย. 65 มียอดจับกุมจำนวน 328 ราย และเดือนธ.ค. 65 มีการจับกุมจำนวน 144 รายและ ผลการจับกุมกรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง มีผลการจับกุมในเดือนต.ค. 65 จำนวน 1,357 ราย  เดือนพ.ย. 65 จำนวน 786 ราย และเดือนธ.ค. 65 จำนวน  106  ราย  2.สตม.รวบผู้ต้องหาแดนมังกรหนีคดีฉ้อโกงผู้เสียหาย 7,704 ราย มูลค่าความเสียหาย กว่า 6,000 ล้านบาท 

 กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่กรณีสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย มีหนังสือขอให้จับกุมและผลักดัน นายเต๋อ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นบุคคลที่ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกหมายจับและต้องการตัวไปดำเนินคดี ในความผิดฐานฉ้อโกง โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด คือเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2557 นายเต๋อ ได้จดทะเบียนและก่อตั้งบริษัท Jiahe โดยไม่มีการอนุมัติจากผู้กำกับดูแลการเงินฝากสาธารณะ นายเต๋อ ได้แนะนำโครงการลงทุน “Great Health Industry” แก่นักลงทุนโดยการออกใบปลิวของขวัญ การจัดกิจกรรมและทัวร์ฟรี จากนั้นได้ถอนเงินฝากสาธารณะไปอย่างผิดกฎหมายเพื่อวัตถุประสงค์ของการทำกำไร ทำให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อ จำนวน 7,704 ราย มูลค่าความเสียหาย 1.27 พันล้านหยวน (ประมาณ 6.35 พันล้านบาท) และในปีพ.ศ.2564 นายเต๋อ ได้หนีออกจากท่าอากาศยานนานาชาติโดยเที่ยวบิน Shanghai-Pudong  

2.กก.1 บก.สส.สตม.ได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายเต๋อ ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2564 ได้รับการตรวจลงตราประเภท THAILAND PRIVILEGE CARD (PE) และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด จึงได้ขออนุมัติ ผบก.สส.สตม. ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 12 (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มีพฤติการณ์สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522

 จากการสืบสวนทราบว่านายเต๋อ อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและกรุงเทพฯ  และจะเดินทางมาที่อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ จึงได้ประสานงานกับ กก.สส.บก.ตม.1 เพื่อติดตามหาตัวนายเต๋อ เมื่อพบตัวจึงได้แจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวรอการส่งกลับไปสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไป

  3.สตม.รวบผู้ต้องหาชาวเกาหลี OVERSTAY มี INTERPOL Red Notice คดีร่วมกับพวกฉ้อโกงความเสียหายรวมกว่า 1,600 ล้านบาท  กก.1 บก.สส.สตม. จับกุมนายเยจุน (นามสมมติ) อายุ 51 ปี สัญชาติเกาหลี โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริเวณลานจอดรถของคอนโดมิเนียม ย่าน ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี

  พฤติการณ์จับกุมกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับหนังสือจากกงสุลฝ่ายตำรวจประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย ประสานงานขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการผลักดัน นายเยจุน (นามสมมติ) ผู้ต้องหาตามหมายจับสาธารณรัฐเกาหลีในคดีฉ้อโกง และเป็นบุคคลเป็นที่ต้องการตัวของทางการสาธารณรัฐเกาหลี ตามประกาศตำรวจสากลสีแดง (INTERPOL Red Notice) ที่ A-6937/8-2022 ลงวันที่ 19 ส.ค.2565 โดยมีพฤติการณ์ในการกระทำผิด กล่าวคือ นายเยจุน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงินของกลุ่มบริษัทหนึ่งในสาธารณรัฐเกาหลี ในระหว่างเดือนพ.ย.2561 ถึงเดือนเม.ย.2563 ได้ร่วมกับพวกสมรู้ร่วมคิดในการยักยอกทรัพย์สินจำนวนเงินรวม 491 พันล้านวอน จากบริษัท 5 แห่ง เช่น Kales Hoidings Inc. Chankhanee Invest Inc. โดยมีการโอนเงินดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาสำหรับวัตถุประสงค์ส่วนตัวและยังสมรู้ร่วมคิดกันโดยให้บริษัท Vivien Inc. เข้าซื้อหุ้นของบริษัท Infinity&T Inc จำนวน 11,307,150 หุ้น โดยราคาซื้อ 5,085 วอนต่อหุ้น รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า62,406ล้านวอนหรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 1,647 ล้านบาท แล้วหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย  

  กก.1 บก.สส.สตม. ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สตม. พบว่า นายเยจุน เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2565 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทผ.ผ.90 ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 1พ.ย.2565 การได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยมีข้อมูลว่าพักอาศัยใน อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จากนั้นได้ประสานงานกับ ตม.จว.ชลบุรี, กก.สส.บก.ตม.3 และสภ.บางละมุง เพื่อออกสืบสวนติดตามหาตัวนายเยจุน ตามสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จนสืบสวนทราบว่านายเยจุนได้พักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม ย่านหมู่ที่ 6 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้ไปตรวจสอบและได้พบผู้ถูกจับในเบื้องต้นนายเยจุนไม่มีหนังสือเดินทางแสดงแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเมื่อตรวจสอบข้อมูลกับระบบ Biometrics พบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้วและเป็นบุคคลคนเดียวกันกับที่ทางการเกาหลีใต้ต้องการตัว จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบว่าเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดและจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  

  4.บก.สส.สตม.ร่วมกับชุด PCT ชุดที่ 1 ปฏิบัติการทลาย 4 จุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สัญชาติเกาหลี เงินหมุนเวียนกว่า 50 ล้านบาท  บก.สส.สตม.พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 1 เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นบ้านและคอนโดหรู โดยใช้หมายค้นของศาลจังหวัดเชียงใหม่เข้าค้นในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอหางดงและอำเภอสันกำแพง รวมจำนวน 4 จุด โดยเป็นบ้านหรูจำนวน 2 หลังและคอนโด จำนวน 2 ห้อง ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่าเป็นสถานที่ตั้งของกลุ่มคนเกาหลีที่ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ผลการตรวจค้นได้ทำการจับกุมชาวเกาหลีใต้จำนวน 5 ราย ดังนี้ 1.MR.LEE JONG หรือนายลี จอง อายุ 21 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ 2.MR.LEE หรือนายลี อายุ 44 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ 3.MR.JONG หรือนายจอง อายุ 27 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ 4.MR.NOH หรือนายโน อายุ 31 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ 5.MR.SUNG หรือนายซัง อายุ 30 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ (ผู้ต้องหาทั้งหมดนามสมมติ) พร้อมด้วยของกลางคอมพิวเตอร์จำนวน 1 เครื่อง,โทรศัพท์มือถือจำนวน 11 เครื่อง แทปเล็ต จำนวน  4 เครื่องและ.โทรศัพท์บ้านจำนวน  7 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (Overstay)”

  พฤติการณ์จับกุมเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่1 และบก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากแผนกกงสุลฝ่ายตำรวจ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย ขอความร่วมมือจับกุมบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ผู้มีหมายจับ มีพฤติการณ์จัดตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกบุคคลสัญชาติเกาหลี ซึ่งเคยเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ประเทศจีน ต่อมาได้หลบหนีเข้ามายังประเทศไทย แล้วมาตั้งฐานในการกระทำความผิดเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงนำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านทั้งสองหลัง พบ MR.LEE JONG หรือนายลี จอง ,MR.JONG หรือนายจอง และ MR.NOH หรือนายโน พร้อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ต่อมาได้สืบทราบว่ามีการกระจายจุดที่ตั้งของพนักงานคอลเซ็นเตอร์ออกไปยังคอนโด 2 ห้องจึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบ MR.LEE หรือนายลี และ MR.SUNG หรือนายซัง โดยผู้ถูกจับทั้ง 5 รายให้การรับสารภาพว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พากันหลบหนีจากประเทศจีนเพื่อมาตั้งฐานในประเทศไทยโดยมีการแบ่งหน้าที่กันคือ .MR.LEE JONGหรือนายลี จอง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแก๊งคอยควบคุมสั่งการดูแลจัดหาที่ตั้งและอุปกรณ์ที่ใช้อีกทั้งยังเป็นคนคอยจัดการเรื่องเงินที่ได้จากการหลอกลวงมีการโอนเงินไปซื้อขายเหรียญคริปโตอันเป็นลักษณะการฟอกเงิน ส่วนที่เหลือทำหน้าที่เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ โทรหาผู้เสียหายพูดคุยตามสคริปที่เตรียมไว้แล้วทำการหลอกให้โอนเงินโดยใช้อุบายว่าเป็นเจ้าพนักงานอัยการเกาหลี ตรวจสอบพบว่าผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับคดีที่มีอัตราโทษร้ายแรงต้องทำการตรวจสอบเงินในบัญชีเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินมาให้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย โดยพนักงานจะได้รับเงินรางวัล 5-10 % ของยอดเงินที่หลอกได้ โดยแต่ละคนเคยได้รับเงินรางวัลมากกว่า 150,000 บาทต่อผู้เสียหาย 1 ราย ซึ่ง MR.LEE JONG หรือนายลี จอง จะเป็นผู้จัดสรรยอดเงินนั้น โดยปรากฎรายการเบอร์โทรศัพท์สำหรับการสุ่มโทรมากกว่า 30,000 เบอร์ มีผู้เสียหายจำนวนหลายรายมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท จึงได้ทำการจับกุมตัวพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.5 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบกวดขันและปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับและการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดกรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเพื่อให้การปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปรามสืบสวนจับกุมเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม