สตม.แถลงข่าวจับ หนุ่มเมืองผู้ดีพรากผู้เยาว์-รวบผู้สั่งการขนบังกลาเทศข้ามแดน จับหนุ่มซีเรีย-หญิงชาวอียิปต์ OVERSTAY

0
322

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม.พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม.พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3 พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม.พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รอง ผบก.ตม.1 พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1 พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

 1.บก.สส.สตม. จับกุมนายไทเลอร์ (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติอังกฤษ ตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ จ.21/2567 ลงวันที่ 12 มกราคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุสมควรเพื่อการอนาจาร นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย จับกุมได้พื้นที่ ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ พฤติการณ์แห่งคดี ในระหว่างปี พ.ศ.2557–2558 นายไทเลอร์ ผู้ต้องหาได้เดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และได้ไปเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ระหว่างที่เป็นครูนั้นนายไทเลอร์ ได้ก่อเหตุพาเด็กนักเรียนหญิงต่างชาติ อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติแห่งนั้นไปกระทำอนาจารที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใน ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต จำนวน 2 ครั้ง เวลากลางคืน เมื่อผู้ปกครองของเด็กหญิงและทางโรงเรียนทราบเรื่อง จึงได้สอบสวนและได้ยกเลิกสัญญาจ้างการเป็นครูของนายไทเลอร์ ส่วนการแจ้งความดำเนินคดี ทางผู้ปกครองของเด็กหญิงขอให้บุตรสาวของตนได้เรียนหนังสือในประเทศไทยให้จบก่อน เมื่อบุตรสาวเรียนจบ ผู้ปกครองจึงได้มาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายไทเลอร์ พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ขออนุมัติศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับนายไทเลอร์ ซึ่งศาลจังหวัดภูเก็ตได้ออกหมายฯจับกุมนายไทเลอร์ ในความผิดฐาน พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุสมควรเพื่อการอนาจาร และจับกุมนายไทเลอร์ขณะพักอาศัยอยู่กับภรรยาซึ่งเป็นหญิงไทยที่บ้านหลังหนึ่งในย่าน ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  

2.สตม.กก.สส.บก.ตม.3 ร่วมกับ ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ และ สภ.ห้วยยาง จับกุม นายประยน (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ จ.8/2567 ลงวันที่ 15 มกราคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวรอดพ้นจากการจับกุม” นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินคดีตามกฎหมาย จับกุมได้บริเวณหน้าบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ พฤติการณ์จับกุม สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 เวลาประมาณ 20.00 น.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้สนธิกำลังจับกุมนายสุริน(นามสมมุติ) อายุ 27 ปี สัญชาติไทย พร้อมคนต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศ จำนวน 30 คน และยึดรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ดีแมคซ์ สีขาว ต่อเติมหลังคาขนส่งตู้ทึบ จำนวน 1 คัน นำส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาจากการที่ กก.3 บก.สส.สตม.ได้ร่วมกับ ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ สืบสวนขยายผลขบวนการ เครือข่ายที่เกี่ยวข้องพบว่า นายประยน มีส่วนร่วมในขบวนการขนคนต่างด้าวข้ามแดนในคดีดังกล่าวทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการ พนักงานสอบสวน สภ.ห้วยยาง จึงได้ขออนุมัติต่อศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้ออกหมายจับนายประยน กระทั่งพบนายประยน อยู่หน้าบ้านพักจึงเข้าแสดงตัวทำการจับกุม จากการสืบสวนขยายผลพบแชทการพูดคุยในเรื่องจำนวนคนต่างด้าวและเส้นทางการขนคนต่างด้าว โดยนายประยน รับว่าในช่วงแรกตนได้เปิดบริษัทขนส่งมีรถกระบะขนส่ง(ตู้ทึบ)เพื่อวิ่งส่งของแต่ภายหลังเห็นว่าถ้ามารับวิ่งงานสีเทาจะได้ค่าจ้างมากกว่าวิ่งส่งของมากจึงหันมารับงานขนคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง ซึ่งจะได้ค่าจ้างรายละประมาณ 2,500 บาท โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วตนเองจะได้รับอยู่ที่ประมาณหัวละ 1,500 บาท โดยในคดีที่ถูกจับครั้งนี้ได้ส่งต่องานให้นายสุรินฯเป็นผู้ขับรถขนส่งคนต่างด้าวจนถูกจับกุมเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาและรถยนต์กระบะที่ถูกตรวจยึดเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 ผู้ครอบครองเป็นญาติของตนเอง ก่อนหน้านี้ตนเองเคยถูกจับในความผิดมียาเสพติดอยู่ภายในรถขนส่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 จึงนำตัวนายประยนส่งพนักงานสอบสวน สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 3.สตม.กก.สืบสวน.บก.ตม.1 จับกุมนายอัดนัน (นามสมมติ) อายุ 43 ปี สัญชาติซีเรีย และนางสาวซาบีร์ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สัญชาติอียิปต์ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย จับได้ที่่โรงแรมแห่งหนึ่งย่าน     ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ พฤติการณ์จับกุม กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับข้อมูลจากสายข่าวในพื้นที่ว่าที่บริเวณโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนสุขุมวิท มีคนต่างด้าวคล้ายชาวอาหรับมักจะเดินเตร็ดเตร่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง จึงลงพื้นที่ตรวจสอบ จนกระทั่งพบบุคคลเป้าหมายเข้าพักที่ห้องของโรงแรมดังกล่าวจึงติดต่อผู้จัดการโรงแรมขอเข้าตรวจสอบเคาะห้องนางสาวซาบีร์ เมื่อพบเจ้าหน้าที่มีอาการตกใจและพยายามจะหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวและตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม.พบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดแล้วเป็นเวลา 1,526 วัน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่พบชายต่างด้าวมีท่า ทีพิรุธ จึงได้ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่าชายคนดังกล่าวคือนายอัดนัน (นามสมมติ) ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดแล้วเป็นเวลา 2,451 วัน จากการสืบสวนเชิงลึกยังพบว่านายอัดนันฯ คือบุคคลซึ่งเคยถูกจับกุมในคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และค้าประเวณีหญิงสาวชาว Morocco โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อปี พ.ศ.2560 และยังเป็นบุคคลที่เคยถูกออกหมายจับในคดีร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนและคดีทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ในพื้นที่นานาและสุขุมวิท รวมหลายคดี ซึ่งคดีดังกล่าวบางคดีอยู่ในระหว่างรอนัดสืบพยานจากศาล อย่างไรก็ตามตรวจสอบในเบื้องต้นไม่พบว่านายอัดนันได้ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตราเพื่อต่อสู้คดีแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ทั้งสองคนว่าเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และควบคุมตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพบข้อมูลการติดต่อกันระหว่างนายอัดนันกับนางสาวซาบีร์โยงหญิงชาวไทยอีกรายหนึ่งเชื่อว่าทั้งหมดมีความเชื่อมโยงซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ขยายผลต่อไปว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรและมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นความผิดในฐานอื่น ๆ อีกหรือไม่